การลดอาการปวดเข่าเมื่ออายุเพิ่มขึ้น โรคข้อเข่าเสื่อมพบได้มากในผู้สูงอายุ ทำให้เกิดอาการปวดเข่า บวมแดง เข่าฝืด มีเสียงดังในเข่า ไม่ว่าความรุนแรงของอาการจะมากหรือน้อยก็เป็นปัญหาในชีวิตประจำวัน สาเหตุที่ทำให้ข้อเข่าเสื่อม อาจมีหลายสาเหตุ เช่น การมีน้ำหนักตัวมากทำให้เข่าต้องรับน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นในขณะก้าวเดิน ความเสื่อมสะสมจากการที่ใช้ข้อเข่าไม่ถูกต้อง หรือเคยได้รับอุบัติเหตุบริเวณเข่า หรือเป็นโรคที่เกี่ยวกับไขข้อมาก่อน เช่น โรครูมาตอยด์
อาการของโรค
- เริ่มมีอาการปวดเมื่อเข่าทำงานหนัก เช่น การเดิน บางรายอาจมีการปวดเป็นๆ หายๆ บางรายมีอาการปวดตลอดเวลา ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของการเสื่อมของข้อเข่า
- ข้อเข่ามีการผิดรูป มีอาการเข่าบวม หรือขาโก่งออก
- บางรายอาจมีข้อติด หรือ ฝืด
- มีปัญหาในการใช้งานข้อเข่า เช่น นั่งเก้าอี้เตี้ย การขึ้นลงบันได รวมทั้งการเดิน
แนวทางการดูแลข้อเข่า
- การใช้ความร้อนประคบ(เพื่อลดอาการปวด เกร็งกล้ามเนื้อรอบเข่า) ประคบเย็นเพื่อลดการอักเสบกรณีที่มีอาการปวด บวม แดงร้อน
- การบริหารกล้ามเนื้อเข่าให้แข็งแรง ช่วยลดแรงกระแทกต่อข้อเข่า
- ควรใช้สนับเข่าในกรณีที่ปวดเข่า ใช้เมื่อแพทย์เห็นสมควรเพราะการใช้สนับเข่าอาจเกิดกล้ามเนื้ออ่อนแรงจากการไม่ได้ถูกใช้งานได้ อาจใส่บางครั้งร่วมกับการออกกำลังอย่างสม่ำเสมอ
- ควรหลีกเลี่ยงการนั่ง พับเพียบ คุกเข่า ขัดสมาธิ นั่งยองๆ เพราะการทำเช่นนี้จะเป็นตัวเร่งให้ข้อเข่าเสื่อมเร็วขึ้น
- หากมีการเคลื่อนไหวที่จำกัดหรือมีประวัติเคยล้มมาก่อน การใช้ไม้เท้าจะช่วยถ่ายเทแรงที่อาจเกิดขึ้นต่อเข่าและช่วยให้เคลื่อนไหวได้มากขึ้น แต่ไม่สามารถช่วยในเรื่องลดอาการปวดได้มากนัก
- การลดน้ำหนักตัว เพราะน้ำหนักตัวที่มากเกินทำให้เข่าทำงานหนักต้องแบกน้ำหนักตัว การลดน้ำหนักจึงเป็นสิ่งสำคัญ จะช่วยลดแรงกระแทกต่อข้อเข่าเวลาเดินหรือทำกิจกรรมต่างๆ ได้
- การออกกำลังกายอย่างถูกวิธี เช่น การออกกำลังกายแบบแอโรบิกด้วยการปั่นจักรยาน การออกกำลังกายในน้ำ การออกกำลังกายเพื่อเสริมสร้างกล้ามเนื้อให้แข็งแรง เช่น บริหารกล้ามเนื้อต้นขาด้านหน้าหลังและด้านในด้านนอก กล้ามเนื้อน่อง เป็นต้น ตลอดจนการยืดเหยียดกล้ามเนื้อส่วนต่างๆของร่างกาย
การใช้ข้อเข่าที่ถูกวิธีจะช่วยยืดอายุการใช้งานของข้อเข่าได้
การปรับพฤติกรรมบางอย่างที่ส่งผลกระทบให้เกิดอาการบาดเจ็บซ้ำๆ เช่น การนั่งขัดสมาธิ นั่งพื้นที่ต้องงอเข่ามากเกินไป หลีกเลี่ยงการนั่งยองๆ เพราะจะเพิ่มอาการปวดเข่า อาจปรับส้วมมาเป็นแบบนั่งชักโครก หลีกเลี่ยงการนั่งพับเพียบไปวัดฟังเทศน์ หันมานั่งเก้าอี้แทน
แนวทางการรักษา
เมื่อท่านมีปัญหาข้อเข่าเสื่อม ควรไปพบแพทย์เพื่อประเมินระดับความรุนแรงของโรค และแนะนำวิธีการรักษาที่เหมาะสมที่สุด ตามระดับความรุนแรงของโรคและข้อจำกัดของแต่ละคนซึ่งจะแตกต่างกันไป โดยแนวทางในการรักษามีดังนี้
1. การปรับพฤติกรรมและการออกกำลังกาย โดยการปรับเปลี่ยนอิริยาบถให้เหมาะสมถูกต้องในการปฏิบัติกิจวัตรประจำวัน การควบคุมน้ำหนักตัว และออกกำลังกายเพื่อเพิ่มความแข็งแรงให้กล้ามเนื้อต้นขาและกล้ามเนื้อรอบข้อเข่า เพราะกล้ามเนื้อที่แข็งแรงจะช่วยพยุงข้อเข่า และถ่ายเทน้ำหนักจากข้อเข่ามาที่กล้ามเนื้อได้ดี ทำให้ข้อเข่าไม่ต้องรับน้ำหนักมากจนเกินไป และออกกำลังกายเพื่อพัฒนาความอดทนของระบบหัวใจ และเพิ่มความยืดหยุ่นของร่างกาย
2. การรักษาโดยไม่ใช้ยา โดยการทำกายภาพบำบัดเพื่อช่วยบรรเทาอาการปวด เช่น การทำอัลตราซาวด์ การใช้เลเซอร์รักษา การรักษาด้วยคลื่นสั้น (Shortwave Therapy) การรักษาด้วยเครื่องกระตุ้นไฟฟ้า (Electrical Stimulation) การประคบด้วยแผ่นร้อนและแผ่นเย็น รวมถึงการฟื้นฟูสมรรถภาพร่างกายของผู้ป่วยทั้งก่อนและหลังการผ่าตัด ซึ่งอาจร่วมไปถึงการเสริมสร้างความแข็งแรงและเพิ่มความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อรอบข้อเข่าด้วยเช่นกัน ซึ่งจะเป็นช่วงเวลาที่ช่วยให้ร่างกายจะค่อยๆ ซ่อมแซมส่วนของข้อที่เสื่อมได้
3. การรักษาโดยการใช้ยา หากมีอาการปวดเลือกใช้ยาพาราเซตามอลเพื่อลดอาการปวด นอกจากนี้ยังมียาเฉพาะที่เช่น ยาต้านการอักเสบไม่ใช่สเตียรอยด์ ยาคลายกล้ามเนื้อ ยาฉีดสเตียรอยด์เข้าข้อ ยาช่วยประคองหรือยาลดความเสื่อมของข้อ เช่น Glucosamine sulfate Diacerein เป็นต้น
4. การรักษาโดยการผ่าตัด ปัจจุบันการรักษาโรคข้อเข่าเสื่อมด้วยการผ่าตัดเป็นที่นิยมมาก เพราะเห็นผลการรักษาไว และทำให้ผู้ป่วยกลับมาใช้ชีวิตได้เป็นปกติโดยไม่เจ็บเข่าทรมานอีก ซึ่งหลังจากผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียมแล้ว ผู้ป่วยจะปรับเปลี่ยนพฤติกรรมหลายอย่างเพื่อให้ข้อเข่าเทียมใช้งานได้ดีและมีอายุการใช้งานนานมากขึ้น เช่น เลี่ยงท่านั่ง เดินที่ใช้ข้อเข่านานๆ ลดน้ำหนักตัว เลี่ยงการออกกำลังกายที่มีแรงกดทับหรือการกระโดดแรงๆ ฯลฯ
ทางเลือกของการออกกำลังกายในผู้ป่วยที่มีอาการข้อเข่าเสื่อม การออกกำลังกายในน้ำ เป็นการออกกำลังกายที่ดีที่สุดในผู้ที่ปัญหามีข้อเข่าเสื่อม เพราะน้ำมีแรงพยุงตัวทำให้ข้อเข่ารับน้ำหนักลดลง จึงเหมาะกับผู้ที่มีอาการปวดเข่า และมีน้ำหนักตัวมาก แรงต้านทานของน้ำทำให้ต้องออกแรงมากขึ้น ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อได้ดี ส่วนอุณหภูมิของน้ำที่เหมาะสมประมาณ 25-29องศาเซลเซียสจะให้ความสดชื่นแก่ร่างกาย ส่วนอุณหภูมิที่ใกล้เคียงกับร่างกาย เช่น 35 องศาเซลเซียสจะช่วยลดปวด กล้ามเนื้อคลายตัว ได้ดีในผู้ที่มีข้อตึง ยึด เมื่อท่านดูแลข้อเข่าได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม จะช่วยชะลอความเสื่อม และยืดอายุการใช้งานของข้อเข่า ซึ่งจะช่วยเพิ่มคุณภาพชีวิตในการใช้ข้อเข่าให้แก่ท่าน ตัวอย่างท่าทางการออกกำลังในน้ำ เช่น
ท่าบริหารกล้ามเนื้อต้นขาด้านหลัง


ท่าบริหารกล้ามเนื้อต้นขาด้านหน้า


ขอขอบคุณข้อมูลจาก
www.paolohospital.com/th-TH/phrapradaeng/Article/Details
https://www.si.mahidol.ac.th › knowledge_healthy_8_005
https://www.rama.mahidol.ac.th › knee_book_0
https://www.bangpakok8.com/care_blog/view/17